หลังจากวันที่ 11 พฤษภาคม 2023 ที่ Google ได้เปิดตัวฟีเจอร์ SGE ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของวงการ Search Engine และการทำ SEO ไปตลอดกาล เพราะ SGE ไม่ได้มาเพื่อแค่ “ช่วยค้นหา” แต่กำลังจะกลายเป็น “ตัวกลาง” ที่คัดกรองเนื้อหาทั้งหมดบนโลกอินเทอร์เน็ต และนำเสนอเฉพาะสิ่งที่ดีที่สุดให้กับผู้ใช้งาน
นั่นหมายความว่า “เกมการทำ Content” ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
และ SGE ก็คือ อนาคตใหม่ ที่เราควรเรียนรู้
การทำคอนเทนต์ในยุคก่อนมักเน้นการผลิตบทความให้ตรงคีย์เวิร์ด เพื่อดันอันดับเว็บไซต์ให้ติดหน้าแรกบน Google แต่เมื่อ SGE เข้ามา เทรนด์นี้กำลังถูกเขย่าอย่างรุนแรง เพราะ SGE ไม่ใช่แค่เปลี่ยน “หน้าตา” ของผลการค้นหา แต่มันกำลังเปลี่ยน “พฤติกรรมของผู้บริโภคข้อมูล” ไปโดยสิ้นเชิง
SGE ใช้ Generative AI ในการสรุปคำตอบจากหลายแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือแล้วแสดงออกมาทันที ทำให้แทบจะไม่จำเป็นต้องคลิกเข้าไปในเว็บไซต์อีกต่อไป หรือเปรียบเสมือนการลด “ทางผ่าน” และให้คำตอบแบบทันใจ ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตยุคใหม่ต้องการ
ดังนั้น Content ในยุค SGE ต้องเปลี่ยนบทบาทจากเนื้อหาที่
“หวังให้คนคลิก” มา เป็นเนื้อหาที่ “มีคุณภาพมากพอให้ AI เลือก”
แต่ก่อนการทำ SEO คือการเขียนคอนเทนต์ที่ถูกหลักของ Google เช่น ต้องมีคีย์เวิร์ด มีโครงสร้างที่ดี มีความยาวที่เหมาะสม และมี Backlink คุณภาพ เพื่อให้ Google จัดอันดับเว็บไซต์ไว้ในผลการค้นหา
แต่เมื่อ SGE เข้ามาในระบบ Google Search การแสดงผลไม่ใช่แค่ลิงก์เว็บไซต์เรียงกันอีกต่อไป เพราะ Google จะใช้ AI สรุปคำตอบสั้น ๆ ไว้ให้ผู้ใช้ตั้งแต่หน้าแรก โดยดึงข้อมูลจากหลายเว็บไซต์ที่ "เชื่อถือได้" มาเรียบเรียงเป็นคำตอบ
นั่นแปลว่า… SEO ที่ดีไม่เพียงพออีกต่อไป หาก AI ไม่เลือกใช้เนื้อหาของเรา
บทความที่เน้นจำนวนคีย์เวิร์ด ซ้ำซาก หรือไร้ประสบการณ์จริง จะถูกลดความสำคัญ ขณะที่คอนเทนต์ที่มีมูลค่าเชิงลึก มีการวิเคราะห์ หรือมาจากผู้มีความรู้โดยตรง จะกลายเป็นคอนเทนต์ที่ AI ให้ความสนใจ
การทำ Content ในอนาคตจึงไม่ใช่การแข่งกันเขียนเยอะ แต่คือการ แข่งกันสร้าง ความน่าเชื่อถือและคุณค่า ไม่ใช่แค่กับผู้อ่าน แต่กับระบบ AI ที่เป็นผู้สรุปคำตอบให้คนทั้งโลก
สมมติว่าให้เปรียบเทียบ 2 บทความดังนี้
สมัยก่อน ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตค้นหา “อาหารลดน้ำหนัก” พวกเขาคาดหวังลิงก์หลาย ๆ อัน ให้เลือกอ่านและเปรียบเทียบเอง แต่วันนี้พวกเขาต้องการ “อาหารลดน้ำหนักที่ได้ผลดีที่สุด พร้อมเหตุผล และสูตรทำง่าย” และต้องการภายใน 10 วินาที
SGE เข้ามาเติมความคาดหวังนี้ได้พอดี และคอนเทนต์ที่ตอบแบบ “ตรงประเด็น” เท่านั้นที่จะได้รับเลือก
เพื่อ “เข้าใจ” ว่าในคอนเทนท์นั้นพูดเรื่องอะไร คอนเทนต์ที่มีโครงสร้างชัดเจน เข้าใจง่าย จึงมีแนวโน้มที่จะถูกเลือกให้แสดงผลใน SGE มากกว่า
หรือก็คือ Content ไม่ได้เขียน “เพื่อคน” เท่านั้นอีกต่อไป แต่ต้องเขียนเพื่อ “คน + AI”
หลายคนเชื่อว่าคอนเทนต์ยาวจะเริ่มตาย เพราะคนอ่านน้อยลง แต่ใน SGE คอนเทนต์ยาวที่มี “ความลึก” และ “โครงสร้างดี” กลับได้เปรียบ
ตัวอย่างเช่น
บทความ “วิธีวางแผนเกษียณให้มีเงินใช้ถึงอายุ 90”
แม้ยาว 2,000 คำ แต่ถ้ามี Timeline ตาราง แหล่งอ้างอิง หรือตัวอย่างเคสจริง Google ะจะข้าใจได้ว่าบทความนี้ “ตอบคำถามอย่างลึกซึ้ง” และให้ SGE เลือกได้มากกว่าคอนเทนต์แบบโพสต์สั้น ๆ
ในยุค SGE คอนเทนต์มั่วๆ ไม่สามารถหลุดรอดไปถึง AI ได้ง่าย ๆ Google ต้องการเนื้อหาที่เขียนโดย “คนที่มีความรู้จริง” และมี “ความน่าเชื่อถือ”
นั่นหมายความว่า
Content Creator ที่เป็นตัวจริง จะได้เปรียบมากกว่า AI Writer ทั่วไป
Google เลือกแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือไปใส่ใน SGE เท่านั้น นั่นแปลว่า “แบรนด์” ที่สร้าง Authority ได้จะมีโอกาสปรากฏในกล่องคำตอบนี้เสมอ
ยิ่งมีบทความที่ดีอย่างต่อเนื่อง
ยิ่งได้รับลิงก์จากเว็บไซต์อื่น
ยิ่งสร้างคอมมูนิตี้ที่พูดถึงเนื้อหา
SGE คืออนาคตของการทำ Content เพราะมันบังคับให้เราทุกคนกลับมาโฟกัสกับ “คุณภาพ ความเชี่ยวชาญ และความจริง” มากกว่าการใส่ข้อมูลอย่างมักง่ายและไม่สามารถตรวจสอบได้ ซึ่งเป็นทิศทางที่ยั่งยืนที่สุดของการสื่อสารออนไลน์
