เคยไหมที่อยากจะค้นหาอะไรสักอย่างในอินเตอร์เน็ต พอเจอเว็บน่าสนใจแล้วก็ต้องกดเข้าไปอ่านเข้าไปทำความเข้าใจอีกหลายต่อ กว่าจะได้คำตอบกว่าจะได้บทสรุปที่ต้องการก็ใช้เวลานาน ขัดกับพฤติกรรมการใช้อินเตอร์เน็ตของชาวยุค 5G ที่ต้องการความรวดเร็วและข้อสรุปในทันที
อีกทั้งในงานสัมมนาใหญ่ประจำปีของ Google หรือที่เรียกกันว่า Google I/O เมื่อปี 2023 วันที่ 11 พฤษภาคม ได้เปิดตัว SGE (Search Generative Experience) อย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรก
ผนวกกับการที่ AI หรือการนำระบบปัญญาประดิษฐ์เข้ามาช่วยทำสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันของผู้คนมากขึ้น โดยในปี 2024 ที่ผ่านมา QuantumBlack, AI by McKinsey หรือ หน่วยงานในเครือของบริษัท McKinsey & Company หนึ่งในบริษัทที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งเชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูง (Advanced Analytics) และ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เผยว่า อัตตราการที่ผู้คนใช้ AI เพิ่มขึ้นจาก 33% ในปี 2023 เป็น 71% ในปี 2024 การที่ Google เปิดตัว SGE จึงถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของ Google และวงการทำเว็บไซต์ทั่วโลก
SGE คืออะไร?
สมมติว่าเราอยากได้คำตอบอะไรสักอย่างจากกูเกิ้ล แต่พอเสิร์ชไปก็เจอคำตอบจากเว็บไซต์ต่าง ๆ หลากหลายตระการไปหมด SGE (Search Generative Experience) ฟีเจอร์ใหม่จาก Google จะเปรียบเสมือนผู้ที่ทำหน้าที่สรุปคำตอบอย่างรวบรัดมาให้ด้วยพลังการทำงานของ AI หรือจะว่าคล้าย ๆ กับ ChatGPT ที่ใครหลาย ๆ คนคุ้นเคยซึ่งจะสรุปคำตอบของคำถามมาให้เราสั้น ๆ อย่างกระชับได้ใจความนั่นเอง
เช่น สมมติว่า อยากจะรู้ว่า เที่ยวญี่ปุ่นช่วงไหนดี ระบบ SGE จะรวบคำตอบพร้อมเหตุผลโดยสรุปมาให้คุณ พร้อมทั้งแนบลิงก์ที่น่าเชื่อถือ ไม่ต้องเสียเวลากดจิ้มลิงก์ที่คิดว่าน่าสนใจเอาทีละลิงก์
แล้วเจ้าผู้ช่วยของเรามีกระบวนการทำงานอย่างไรบ้างถึงสรุปคำตอบมาให้เราได้ครบครันขนาดนี้ พาสำรวจกระบวนการทำงานของ SGE
นอกจากนั้น SGE ยังเรียนรู้และพัฒนาตลอดเวลา ยิ่งมีคนใช้มาก ระบบ AI ก็เรียนรู้ว่าคำตอบแบบไหนที่ “ช่วยผู้ใช้ได้จริง” โดย Google จะใช้ข้อมูลฟีดแบ็ก เช่น การคลิก, การอ่านเพิ่มเติม, การถามต่อ มาช่วยปรับปรุงความแม่นยำของคำตอบมาให้เรา
แน่นอนว่าหลังจาก Google เปิดตัว SGE นั้นก็สร้างแรงกระทบกระเทือนต่อวงการผู้ทำ SEO (Search Engine Optimization) กันอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว แต่ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นสิ่งที่ต้องทำความเข้าใจและปรับตัวให้ได้ เพราะถึงแม้ SEO จะยังสำคัญอยู่เช่นเคย แต่พฤติกรรมการค้นหาของผู้คนก็ได้เปลี่ยนไปแล้วสิ้นเชิง
เพราะมันช่วยสรุปคำตอบและนำมาแปะไว้ให้เราเห็นโดยที่ไม่ต้องกดเข้าไปในเว็บ ๆ นั้นเลยก็ยังได้ (หากต้องการแค่คำตอบสั้น ๆ หรือบทสรุปเท่านั้นล่ะก็)
ถึง SGE ดูเหมือนจะมาล้ม SEO เพราะทำให้คนคลิกลิงก์เว็บไซต์น้อยลง แต่ SGE ก็เป็นส่วนหนึ่งของ SEO ที่คล้ายจะแตกแขนงแยกออกมา และ SGE ยังคงต้องพึ่งพา SEO เพื่อนำมาวิเคราะห์และมอบคำตอบที่ดีที่สุด กระชับที่สุดให้ผู้ใช้อยู่ดี เพราะหากไม่มีการทำ SEO ที่ดีมาก่อน SGE ก็คงไม่มีแหล่งคำตอบให้นำมาใช้
ดังนั้นจึงไม่ต้องตระหนกไปว่าการเข้ามาของ SGE จะทำให้ SEO หายไป แต่สิ่งที่ควรตระหนักเพิ่มคือ ในเมื่อการมีอยู่ของ SGE ได้กระตุ้นให้พฤติกรรมการค้นหาของผู้ใช้งานเปลี่ยนไปแบบนี้แล้ว เราควรจะพัฒนา SEO ให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้นได้อย่างไรบ้าง
เหมือนกับการตั้งคำถามว่า
Sutee Proart ผู้สร้างและผู้บริหารประจำ topseoblog.com ค้นพบข้อมูลจากใน https://blog.google/ ว่า Google ยังใช้ E-E-A-T เป็นเกณฑ์ในการตัดสินคุณภาพเว็บไซต์ อันประกอบไปด้วย