ค่าใช้จ่ายในการทำ SEO แพงไหม? ต้องเตรียมงบเท่าไรจึงได้ SEO ที่มีคุณภาพ

August 14, 2025
เขียนโดย
Guitar
ค่าใช้จ่ายในการทำ SEO แพงไหม? ต้องเตรียมงบเท่าไรจึงได้ SEO ที่มีคุณภาพ

แม้จุดเด่นของ SEO คือการสร้าง Organic Traffic โดยไม่ต้องจ่ายค่าโฆษณาโดยตรงเหมือน Google Ads แต่ก็เป็นความเข้าใจผิดหากจะมองว่า SEO เป็น ‘ของฟรี’ ในความเป็นจริง การทำ SEO ที่มีประสิทธิภาพต้องอาศัยการลงทุนทั้งในแง่ของเวลา ทรัพยากร และความเชี่ยวชาญ ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นต้นทุนทางธุรกิจ

เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น ‘ต้นทุน’ ของการทำ SEO นั้นมาจากส่วนประกอบสำคัญต่อไปนี้:

  • ทรัพยากรบุคคล (Human Resources): ไม่ว่าจะเป็นการจ้างทีมงานภายใน (In-house) หรือการใช้บริการจากเอเจนซี่ (Agency) ล้วนต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง ทั้ง SEO Specialist, Content Writer, และ Web Developer ซึ่งมาพร้อมกับค่าใช้จ่ายในรูปแบบของเงินเดือนหรือค่าบริการ
  • การสร้างคอนเทนต์คุณภาพสูง (High-Quality Content Creation): การผลิตบทความเชิงลึก, อินโฟกราฟิก, หรือวิดีโอที่มีคุณภาพ ต้องผ่านกระบวนการค้นคว้า, เขียน, ออกแบบ, และตรวจทาน ซึ่งทั้งหมดนี้คือต้นทุนด้านเวลาและแรงงาน
  • การสร้าง Backlink เชิงกลยุทธ์ (Strategic Link Building): การสร้างลิงก์ที่มีคุณภาพจากเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือต้องอาศัยการทำ Outreach, การสร้างความสัมพันธ์, หรือแคมเปญ Digital PR ซึ่งเป็นงานที่ต้องใช้ความพยายามและเวลาอย่างมาก
  • เครื่องมือ SEO ระดับมืออาชีพ (Professional SEO Tools): การเข้าถึงข้อมูลเชิงลึกเพื่อการวิเคราะห์คู่แข่ง, การวิจัยคีย์เวิร์ด, และการตรวจสอบทางเทคนิค จำเป็นต้องใช้เครื่องมือแบบชำระเงิน เช่น Ahrefs หรือ SEMrush ซึ่งมีค่าใช้จ่ายรายเดือน/รายปี

ดังนั้น ต้นทุนของ SEO จึงไม่ใช่ค่าโฆษณา แต่เป็นการลงทุนเพื่อ ‘สร้างทรัพย์สินดิจิทัล’ (Digital Asset) ที่จะค่อยๆ เติบโตและสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืนให้กับธุรกิจในระยะยาว

ทำไมหลายคนถึงเข้าใจผิดเรื่อง “ราคาทำ SEO”?

หนึ่งในคำถามแรกๆ ที่เจ้าของธุรกิจมักจะถามคือ “ทำ SEO ราคาเท่าไหร่?” ซึ่งเป็นคำถามที่สมเหตุสมผล แต่ความเข้าใจผิดที่พบบ่อยคือการมองว่า SEO เป็นสินค้าสำเร็จรูปที่มีป้ายราคาติดไว้เหมือนสินค้าทั่วไป

ความจริงแล้ว SEO คือ ‘บริการ’ และ ‘กระบวนการ’ ที่ปรับเปลี่ยนไปตามแต่ละธุรกิจ ไม่ใช่ ‘ผลิตภัณฑ์’ ที่มีราคาตายตัว การถามว่า "SEO ราคาเท่าไหร่?" จึงคล้ายกับการถามว่า "สร้างบ้านราคาเท่าไหร่?" ซึ่งคำตอบจะขึ้นอยู่กับขนาด, ความซับซ้อนของแบบ, คุณภาพของวัสดุ, และเป้าหมายของผู้อยู่อาศัย

ดังนั้น ค่าใช้จ่ายในการทำ SEO จึงเป็นภาพสะท้อนของขอบเขตงาน, เวลา, ทักษะ, และเครื่องมือที่ต้องใช้ในการพัฒนาเว็บไซต์ให้ไปถึงเป้าหมาย โดยมีปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อราคาดังนี้:

  • ขนาดและความซับซ้อนของเว็บไซต์: เว็บไซต์ธุรกิจบริการขนาดเล็กที่มี 10 หน้า ย่อมต้องการทรัพยากรน้อยกว่าเว็บไซต์ E-commerce ขนาดใหญ่ที่มีสินค้าหลายพันรายการ
  • การแข่งขันของคีย์เวิร์ดและอุตสาหกรรม: การทำอันดับในตลาดที่มีการแข่งขันสูงและมีคู่แข่งรายใหญ่ ย่อมต้องใช้กลยุทธ์ที่เข้มข้นและใช้เวลานานกว่าตลาดเฉพาะกลุ่ม (Niche Market)
  • เป้าหมายและผลลัพธ์ที่คาดหวัง: เป้าหมายที่ต้องการเพียงแค่ให้ติดอันดับในพื้นที่ (Local SEO) ย่อมมีขอบเขตงานและค่าใช้จ่ายที่แตกต่างจากการตั้งเป้าเป็นผู้นำในตลาดระดับประเทศ
  • ทรัพยากรและทีมงานที่รับผิดชอบ: ไม่ว่าจะเป็นทีมงานภายในหรือเอเจนซี่ ประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของทีมคือปัจจัยสำคัญที่กำหนดต้นทุนและคุณภาพของผลลัพธ์

ดังนั้น แทนที่จะมองหา ‘ราคา’ ที่ตายตัว การทำความเข้าใจปัจจัยเหล่านี้จะช่วยให้คุณประเมิน ‘การลงทุน’ ที่เหมาะสมเพื่อบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจของคุณ

เพราะการทำ SEO ไม่ใช่เพียงการปรับแต่งเว็บไซต์ให้ติดอันดับบน Google เท่านั้น แต่ยังเป็นการลงทุนระยะยาวเพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจและผลกำไรอย่างยั่งยืน ซึ่งคำถามที่เจ้าของธุรกิจมักจะถามกันเสมอก็คือ “แล้วต้องใช้งบประมาณเท่าไร?” หรือ “ลงทุนกับ SEO คุ้มค่าจริงหรือไม่?”

รูปแบบค่าใช้จ่ายในการทำ SEO

ค่าใช้จ่ายในการทำ SEO มักจะถูกนำเสนอในหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับขอบเขตงานและโมเดลของแต่ละเอเจนซี่

1. ค่าใช้จ่ายแบบรายครั้ง (One-time setup)

ค่าใช้จ่ายเริ่มต้นในการวางโครงสร้าง SEO เช่น 

  • Audit เว็บไซต์
  • วิเคราะห์คีย์เวิร์ด
  • ปรับโครงสร้างเว็บให้เป็นมิตรกับ Google

ช่วงราคา: 5,000 – 50,000 บาท ขึ้นอยู่กับขนาดของเว็บไซต์

2. ค่าใช้จ่ายรายเดือน (Monthly Retainer)

การทำ SEO ต้องทำอย่างต่อเนื่องเพื่อรักษาอันดับ

  • เขียนบทความ SEO เดือนละ 2-10 บท
  • สร้าง Backlink อย่างสม่ำเสมอ
  • ปรับเนื้อหาและเว็บไซต์ให้ทันต่ออัลกอริธึมใหม่ ๆ

ช่วงราคา: 10,000 – 100,000 บาท/เดือน

บริษัทขนาดเล็กอาจเริ่มที่ 10,000–20,000 บาท ส่วนบริษัทขนาดใหญ่หรือแข่งขันสูง อาจใช้มากกว่านั้น

3. ค่าใช้จ่ายแบบจ่ายตามผลงาน (Performance-based SEO)

บางเอเจนซีนำเสนอแพ็คเกจที่คิดเงินเมื่อคำค้นติดอันดับจริง เช่น คิดเฉพาะเมื่ออยู่ในหน้าแรกของ Google

ข้อดี : ไม่ต้องเสี่ยงจ่ายหากยังไม่เห็นผล

ข้อเสีย :  อาจได้บริการคุณภาพต่ำหรือใช้วิธีที่ไม่ปลอดภัย (Black Hat SEO)

4. ค่าใช้จ่ายเครื่องมือ SEO (SEO Tools)

หากคุณทำ SEO ด้วยตนเอง หรือจ้างฟรีแลนซ์ อาจต้องจ่ายค่าเครื่องมือ SEO เพิ่มเติม เช่น Ahrefs / SEMrush / Moz / Google Search Console / Google Analytics

ช่วงราคา: ฟรี – 10,000+ บาท/เดือน

ควรเตรียมค่าอะไรบ้าง?

1. ค่าบุคลากร (Personnel Costs):

คือค่าใช้จ่ายสำหรับความเชี่ยวชาญ ไม่ว่าจะเป็นการจ้างฟรีแลนซ์หรือเอเจนซี่ ซึ่งมีอัตราแตกต่างกันไปตามประสบการณ์และขนาดของทีม

  • ฟรีแลนซ์: 5,000 – 30,000+ บาท/เดือน
  • เอเจนซี่: 20,000 – 200,000+ บาท/เดือน

2. ค่าใช้จ่ายด้าน Content

  • ค่าจ้างนักเขียน SEO บทความ SEO ที่ดีต้องวางโครงสร้างให้เหมาะกับทั้งผู้อ่านและ Google ราคาต่อบทความอยู่ที่ 800 – 3,000 บาท ขึ้นอยู่กับความยาวและคุณภาพ
  • ค่าออกแบบรูปภาพ/Infographic 500 – 3,000 บาท/ชิ้น
  • ค่าทำวิดีโอสั้น 2,000 – 10,000 บาท/คลิป หากใช้เสริม SEO และแชร์บนโซเชียล

3. ค่าใช้จ่ายด้าน Technical SEO

  • ค่าใช้จ่ายในการพัฒนาเว็บไซต์ หากต้องปรับโครงสร้างเว็บให้เหมาะกับ SEO อาจมีค่าใช้จ่ายในการจ้างนักพัฒนา 5,000 – 50,000 บาท ขึ้นอยู่กับขนาดของเว็บไซต์
  • การทำ Mobile-friendly, เพิ่มความเร็วเว็บไซต์ 10,000 – 30,000 บาท หากต้องปรับแก้หรืออัปเดตครั้งใหญ่
  • SSL และ Hosting คุณภาพสูง 1,000 – 10,000 บาท/ปี

4. ค่าเครื่องมือ SEO มีเครื่องมือหลายตัวที่ช่วยให้การทำ SEO มีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น

  • Ahrefs / SEMrush / Moz เริ่มต้นที่ประมาณ 3,000 – 10,000 บาท/เดือน
  • Google Ads Keyword Planner ใช้ฟรี แต่การใช้คู่กับโฆษณาก็มีค่าใช้จ่าย
  • Google Analytics / Google Search Console ใช้งานฟรีแต่ต้องใช้ความรู้ในการวิเคราะห์

5. ค่าใช้จ่ายในการทำ Link Building (Off-page SEO)

  • การจ้างทำ Backlink ลิงก์จากเว็บไซต์คุณภาพเริ่มต้นที่ 500 – 5,000 บาท/ลิงก์
  • Guest Posting 1,000 – 10,000 บาท/โพสต์ ขึ้นอยู่กับความน่าเชื่อถือของเว็บเป้าหมาย

ตารางเปรียบเทียบระหว่างจ้างเอเจนซีกับทำ SEO เอง

เคล็ดลับในการเลือกลงทุน SEO ให้คุ้มค่า

การลงทุนใน SEO ให้เกิดผลตอบแทนสูงสุด ไม่ใช่แค่การเลือกแพ็กเกจที่ราคาถูกที่สุด แต่คือการเลือกพาร์ทเนอร์และวางกลยุทธ์ที่ถูกต้อง นี่คือ 4 เคล็ดลับสำคัญที่ควรพิจารณาอย่างรอบคอบ

1. เริ่มต้นด้วยเป้าหมายทางธุรกิจที่วัดผลได้ (Start with Measurable Business Goals)

ก่อนจะเริ่มมองหาเอเจนซี่หรือวางแผนใดๆ คุณต้องตอบคำถามให้ได้ก่อนว่า “คุณคาดหวังอะไรจากการทำ SEO?” เป้าหมายที่ไม่ชัดเจนจะนำไปสู่กลยุทธ์ที่ไร้ทิศทาง ควรกำหนดเป้าหมายเชิงธุรกิจที่จับต้องได้ เช่น:

  • ต้องการเพิ่มยอดขายสินค้า A ให้ได้ 20% ผ่าน Organic Search ภายใน 6 เดือน
  • ต้องการเพิ่มจำนวนผู้ลงทะเบียนขอใบเสนอราคา (Leads) ที่มีคุณภาพ 50 รายการต่อเดือน
  • ต้องการสร้าง Brand Awareness โดยให้คีย์เวิร์ดหลักของแบรนด์ติดหน้าแรก

การมีเป้าหมายที่ชัดเจนจะเป็นเหมือน ‘ดาวเหนือ’ ที่ช่วยกำหนดทิศทางของกลยุทธ์ทั้งหมด และทำให้คุณสามารถวัดผลความสำเร็จได้อย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่หลงไปกับตัวเลขทราฟฟิกที่ไม่สร้างยอดขาย

2. เลือกพาร์ทเนอร์ที่โปร่งใสและสื่อสารอย่างสม่ำเสมอ (Choose a Transparent Partner)

เอเจนซี่หรือฟรีแลนซ์ SEO ที่ดีควรทำหน้าที่เหมือน ‘ส่วนหนึ่งของทีมคุณ’ ไม่ใช่ ‘บุคคลภายนอก’ ที่ตรวจสอบไม่ได้ ความโปร่งใสไม่ใช่แค่การส่งรายงาน am ท้ายเดือน แต่หมายถึงการสื่อสารที่ชัดเจนว่าพวกเขากำลัง ทำอะไร, ทำไปเพื่ออะไร, และผลลัพธ์ที่ได้สอดคล้องกับเป้าหมายทางธุรกิจของคุณอย่างไร ควรเลือกผู้ให้บริการที่สามารถอธิบายแผนงานและรายงานผลความคืบหน้าได้อย่างเข้าใจง่าย

3. อย่าให้ ‘ราคาถูก’ เป็นกับดักทำลายธุรกิจ (Don't Let a 'Cheap Price' Become a Trap)

ในวงการ SEO คำว่า “ของดีราคาถูก” นั้นหาได้ยากมาก บริการที่มีราคาต่ำกว่ามาตรฐานตลาดอย่างน่าสงสัย มักมาพร้อมกับการตัดขั้นตอนที่สำคัญ หรือที่เลวร้ายที่สุดคือการใช้เทคนิคสายดำ (Black Hat SEO) เช่น การซื้อลิงก์ที่ไม่มีคุณภาพ หรือการสร้างเนื้อหาที่ซ้ำซ้อนเพื่อหวังผลทางลัด ซึ่งแม้ อาจเห็นผลชั่วคราว แต่มีความเสี่ยงสูงที่จะถูก Google ลงโทษ (Penalty) ทำให้เว็บไซต์หายไปจากผลการค้นหา ซึ่งค่าใช้จ่ายในการแก้ไขนั้นสูงกว่าการลงทุนที่ถูกต้องตั้งแต่แรกหลายเท่าตัว

4. มอง SEO เป็นการลงทุนระยะยาว ไม่ใช่แคมเปย์ระยะสั้น (View SEO as a Long-Term Investment)

คุณต้องเข้าใจและยอมรับว่า SEO คือ ‘การวิ่งมาราธอน’ การคาดหวังผลลัพธ์ที่พลิกโฉมในเดือนแรกคือความเข้าใจที่ผิด ระยะเวลา 3-6 เดือนคือช่วงที่คุณจะเริ่มเห็น ‘สัญญาณ’ ของการเติบโตที่ชัดเจน แต่ผลตอบแทนที่แท้จริงในรูปแบบของทราฟฟิกที่ยั่งยืน, Brand Authority, และต้นทุนการหาลูกค้าที่ลดลง จะปรากฏให้เห็นเมื่อเวลาผ่านไป 12 เดือนหรือมากกว่านั้น การลงทุนใน SEO จึงต้องการความอดทนและความมุ่งมั่นในระยะยาวเพื่อเก็บเกี่ยวผลลัพธ์ที่คุ้มค่าที่สุด

การทำ SEO อาจไม่ใช่การลงทุนที่เห็นผลในทันที แต่ผลลัพธ์ที่ยั่งยืน เช่น อันดับดีขึ้น, ยอดเข้าชมเพิ่มขึ้น, และยอดขายที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ล้วนทำให้ SEO เป็นการลงทุนที่คุ้มค่าหากวางแผนและเลือกผู้ให้บริการอย่างรอบคอบ

หากคุณต้องการทีมที่เข้าใจธุรกิจคุณจริง และออกแบบ SEO ที่เหมาะกับงบและเป้าหมายเราแนะนำให้เริ่มจากการ ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญของ Whalevox ที่นี่

อย่าลืมว่า SEO ไม่ใช่แค่ “ค่าใช้จ่าย” แต่คือ “การลงทุนให้กับอนาคตของธุรกิจ”

contact-us
พูดคุย รับคำปรึกษา จากทีมงานของเราได้ฟรี!
(ตอบกลับภายใน 1 ชั่วโมง)
1. รับฟังปัญหาและความจำเป็นทางธุรกิจของคุณ
2. นำเสนอแผนกลยุทธ์ที่ครอบคลุม
3. ดำเนินขั้นตอนการตลาดพร้อมเริ่มผลลัพธ์ใน 24 ชั่วโมง
4. วัดผลแคมเปญและปรับปรุงต่อเนื่อง
contact-us